วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตะขบ


ตะขบ

ตะขบ
ภาพจาก http://www.baanmaha.com/

ชื่อพื้นเมืองอื่น
ครบฝรั่ง (สุราษฏร์ธานี)ตะขบ , ตะขบฝรั่ง(ภาคกลาง)
ชื่ออื่นๆ (Other Name) : มะเกว๋นควาย ครบ
ชื่อวงศ์
Flacourtiaceae

ชื่อวิทยาศาสตร์
Muntingla calabura L.
ชื่อสามัญ Calabura ,Jamalcan ,cherry ,jam tree

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น ขนาดเล็ก (ExST) สูงประมาณ 5-7 เมตร เปลือกสีเทา กิ่งแผ่สาขาขนานกับพื้นดิน ตามกิ่งมีขนปกคลุม ขนนุ่ม และปลายเป็นตุ่ม ยอดอ่อนเมื่อจับดูรู้สึกเหนียวมือเล็กน้อย
ต้นตะขบ

ใบ เป็นใบเลี้ยงเดียว เรียงสลับแบบ ทแยงกัน ลักษณะใบรูปขอบขนานแกรมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบข้างหนึ่งมน ข้างหนึ่งแหลม ขอบใบหยัก มีขนปกคลุมหนาแน่ เส้นใบมี 3-5 เส้น ด้านบนสีเขียวด้านล่างสีนวล ก้านใบยาว มีขน โคนก้านเป็นปม ๆ

ดอก ดอกเดี่ยว ๆ หรือเป็นคู่ เหมือนง่ามใบ เวลาบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ก้านดอกยาว มีขน กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ไม่ติดกัน สีเขียว รูปหอก ปลายแหลมเป็นหางยาว โคลนกลีบตัดด้านนอกมีขน ด้านในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาว รูปไข่กลับป้อม ๆ ย่น เกลี้ยง

ผลตะขบ
ภาพจาก http://www.baanmaha.com/

ผล ลักษณะลูกทรงกลม ผิวบางเรียบ ขนาด 1.5 เซนติเมตร เมื่อสุกมีสีแดง รสหวาน
ต้นตะขบ

เมล็ด มีลักษณะเล็ก ๆ จำนวนมาก

มี ถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ขึ้นทั่วไปตามพื้นที่ในเขตร้อน เกิดตามที่รกร้างว่างเปล่า หรือตามป่าโปร่งทั่วไป นิยมปลูกเป็นไม้ร่มเงาตามบ้านเรือน การปลูกและขยายพันธุ์

เป็นไม้กลางแจ้งที่ปลูกง่ายโตเร็ว เจริญเติบโตได้ดีในดินทั่ว ๆ ไปขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือต้นที่เกิดขึ้นใหม่



ประโยชน์ทางยา
รส และสรรพคุณในตำรายา
เปลือกต้น รสฝาด เป็นยาระบาย เพราะมีสารพวก Mucilage มากใบ รสฝาดเอียน ใช้ในการขับเหงื่อ ดอก รสฝาด แก้ปวดศีรษะ แก้หวัด ปวดเกร็งในทางเดินอาหาร ลดไข้ ต้มรวมกับสมุนไพรอื่น ๆ เอาน้ำดื่มเป็นยาขับระดู และแก้โรคตับอักเสบ ผล รสหวานเย็น มีกลิ่นหอมบำรุงกำลัง ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ราก รสฝาด กล่อมเสมหะและอาจม

วิธีใช้และปริมาณที่ใช้
1. เป็นยาระบาย โดยใช้เปลือกต้นสด หรือแห้ง ประมาณ 1 ฝ่ามือสับเป็นชิ้นต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร ประมาณ 15 นาที กรองเอาน้ำดื่ม ซึ่งในเปลือกจะมีสารพวก Mucilage มาก ซึ่งเป็นยาระบายที่ดี

2. แก้ปวดศีรษะ แก้หวัด ปวดเกร็งในระบบทางเดินอาหาร และลดไข้โดยใช้ดอกแห้ง 3-5 กรัม ชงเป็นน้ำชาดื่ม

ผลสุกจะมีรสหวานเย็น กลิ่นหอม รับประทานแล้วจะเป็นยาบำรุงกำลังทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ

ขอบคุณข้อมูลและภาพ:http://www.baanmaha.com/community/thread34708.html,http://thailand-an-field.blogspot.com/2010/07/blog-post_14.html

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมุนไพรโทงเทง

สมุนไพรโทงเทง





ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Physalis angulata  L.

ชื่อสามัญ :   Hogweed, Ground Cherry

วงศ์ :   SOLANACEAE

ชื่ออื่น :  ต้อมต๊อก บาตอมต๊อก (เชียงใหม่)  ตะเงหลั่งเช้า (จีน)  ปุงปิง (ปัตตานี) ปิงเป้ง (หนองคาย)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นอวบน้ำเปลือกเกลี้ยงสีเขียว โคนสีม่วงแดงและสีค่อย ๆ จางลงเป็นสีเขียวใสเป็นเหลี่ยม ยอดเป็นสีเขียวอ่อน ลำต้นสูงประมาณ 25 - 50 เซนติเมตร สูงเต็มที่ 120 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา ใบ เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเรียงสลับออกตามข้อ ๆ ละใบ มีก้านยาว 2 - 3 เซนติเมตร ลักษณะใบคล้ายใบพริก รูปหอกป้าน ปลายแหลมและขอบใบเรียบ ใบกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร มีเส้นแขนงใบ 5 - 7 คู่ ดอก ออกระหว่างก้านใบกับลำต้น ดอกเล็กคล้ายดอกพริก แต่กลีบดอกสั้นและแข็งกว่า ดอกตูมทรงรีปลายแหลม เวลาบานเป็นรูปแตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2 เซนติเมตร กลีบดอกชั้นในมีสีเหลืองอ่อน กลีบดอกชั้นนอกหรือกลีบเลี้ยงมีสีเขียวอ่อน จำนวน 5 กลีบ ซึ่งจะเจริญเติบโตขยายตัวหุ้มผลภายในไว้หลวม ๆ ทำให้ดูเสมือนว่าผลพอง ออกดอกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เรื่อยไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ผล ผลโทงเทงมีกลีบดอกชั้นนอกหุ้มเหมือนโคมจีนสีเขียวอ่อนมีลายสีม่วง ผลภายในมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร ผลกลมใสมีสีเขียวอ่อน และเมื่อสุกกลายเป็นสีเหลือง เมล็ด ในผลมีเมล็ดขนาดเล็กมีจำนวนมาก รูปกลมแบน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.2 - 0.3 มิลลิเมตร มีเมือกหุ้มคล้ายมะเขือเทศจำนวนมาก
ส่วนที่ใช้ :  ทั้งต้น ราก เยื่อหุ้มผลแห้ง

โทงเทงฝรั่ง

สรรพคุณ :

ทั้งต้น  - รักษาดีซ่าน ไอหืดเรื้อรัง แผลมีหนอง เจ็บคอ

ราก - ใช้ขับพยาธิ รักษาโรคเบาหวาน

วิธีและปริมาณที่ใช้

ยารักษาโรคหืด
ใช้ทั้งต้นแห้ง 1/2 กิโลกรัม ต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลกรวดลงไปให้หวาน รับประทานครั้งบะ 1/4 ถ้วยแก้ว วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารเป็นเวลา 10 วัน หยุดยา 3 วัน รับประทานต่อไปอีก 10 วัน พักอีก 3 วัน แล้วรับประทานต่อไปอีก 10 วัน หอบหืดจะได้ผลดี
ข้อควรระวัง - ในการรับประทานสมุนไพรโทงเทงนี้ใน 1-5 วันแรก บางคนอาจมีอาการอึดอัด เวียนศีรษะ นอนไม่หลับ หงุดหงิด หลังจากนั้นอาหารเหล่านี้จะหายไปเอง

ยารักษาแผลในปาก เจ็บคอ
- ใช้เยื่อหุ้มผลแห้งที่เอาเมล็ดออกแล้วหนัก 10 กรัม เปลือกส้ม 6 กรัม ต้มกับน้ำผสมน้ำตาลกรวดพอหวานเล็กน้อย ใช้ดื่มต่างน้ำ
- ใช้ทั้งต้น ตำละลายกับสุรา เอาสำลีชุบน้ำยาอมไว้ข้างแก้ม กลืนน้ำผ่านลำคอทีละน้อย แก้ต่อมน้ำลายอักเสบ (ต่อมทอนซิล) แก้ฝีในลำคอ (แซง้อ) หรือ ละลายกับน้ำส้มสายชูก็ได้ แก้ความอักเสบในลำคอได้ดีมาก
ใช้ภายใน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ภายนอก แก้ฟกบวมอักเสบ ทำให้เย็น

ยาขับพยาธิ รักษาโรคเบาหวาน
ใช้รากต้มกับน้ำรับประทาน

      มีข้อมูลทางเภสัชวิทยาบอกว่า เมื่อนำโทงเทงทั้งต้นมาสกัดทำเป็นยาแก้ไอ ให้ผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบจำนวน 36 คน รับประทาน พบว่า ผลการรักษาผู้ป่วยได้ผลดี  
       นอกจากนี้ ยังพบสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ในโทงเทง ซึ่งเป็นสารที่ลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ    
       จากคุณสมบัติที่มีสรรพคุณในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งนั้น จึงเป็นที่มาของการคิดค้นตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่มีส่วนผสมของโทงเทงอยู่ในองค์ประกอบหลัก
 มีผลการวิจัยจากประเทศอินเดีย เมื่อ ค.ศ. 1973 ว่า สารสกัดจากสมุนไพรโทงเทง สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนที่ใช้ คือ ทั้งต้น ราก และเยื่อหุ้มผลแห้ง  
       ส่วนการวิจัยของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า สารสกัดจากต้นโทงเทง มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ
     
       ข้อควรระวัง!
       • สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
       • ในช่วง 1-5 วันแรก เมื่อรับประทานแล้วอาจมีอาการเวียนศีรษะ นอนไม่หลับ อึดอัด หงุดหงิด หลังจากนั้นอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเอง
       • กลีบเลี้ยงของต้นโทงเทง มีสารพิษโซลานิน (Solanine) ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร เมื่อรับประทานแล้วหลายชั่วโมงจะปวดแสบปวดร้อนที่ปากและคอหอย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง และท้องร่วง อุณหภูมิร่างกายสูง เป็นต้น ถ้ายังไม่อาเจียนออก จะต้องล้างท้อง ให้น้ำเกลือ ระวังอาการไตวาย ให้ยาเคลือบกระเพาะอาหาร หรือถ้ามีอาการชักให้ใช้ยาแก้ชัก

ขอบคุณข้อมูลและภาพ:http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_27_2.htm
www.manager.co.th

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

ศัลยกรรม VS สวยธรรมชาติ คุณชอบแบบไหน

ศัลยกรรม VS สวยธรรมชาติ คุณชอบแบบไหน

        ใครจะของแท้แม่ให้มาแต่อ้อนแต่ออกหรือจะผ่านมีดหมอมาแล้ว ลองมาสังเกตจากรูปในอดีตของพวกเธอ เอาภาพมาให้สาวๆ ดูเปรียบเทียบถึงความเปลี่ยนแปลง ดาราบางคนก็ออกมายอมรับเลยว่า“หนูไป ศัลยกรรม มาจริงๆค่ะ” แต่สำหรับบางคนหน้าตาเปลี่ยนไปอาจจะเพราะดัดฟัน หรือโตเป็นสาวแล้วเลยผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยเด้งขึ้นมา ลองมาดูละกันว่าของใครจะของแท้หรือของเทียม …

ดาร์ลิ่ง อารดา

ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก

เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา

มุกกี้

เต้ย จรินทร์พร

เป้ย-ปานวาด เหมมณี

เอมมี่ มรกต

แพท ณปภา

แอฟ ทักษอร

ไอซ์ อภิษฎา

ก้อย รัชวิน


ลูกตาล-อาริษา วิลล์

นุ่น วรนุช

มีน พิชญา

อั้ม พัชราภา

มด ณปภัช
ขอบคุณ:
http://women.mthai.com/scoop/17158.html

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กลูตาไธโอน: ต้านโรค ชะลอวัย

กลูตาไธโอน: ต้านโรค ชะลอวัย
รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
กลูตาไธโอน (Glutathione) นับเป็นสารมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ร่างกายคนเราสามารถผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ มีคุณอนันต์ต่อสุขภาพ ผู้ที่แข็งแรงและมีอายุยืนยาว จะสามารถตรวจพบสารกลูตาไธโอนในร่างกายในปริมาณสูง ตรงกันข้ามกับคนป่วยและผู้ที่สุขภาพไม่ดี จะพบว่าปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายต่ำมาก


เรามาทำความรู้จักกับสารชนิดนี้ให้เข้าใจมากขึ้น ทำอย่างไรให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนได้เองมากๆ ให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากจะช่วยชะลอวัยแล้ว ยังช่วยให้อายุยืนยาวอีกด้วย
สารกลูตาไธโอน คืออะไร

เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยกรดอมิโนที่สำคัญ 3 ชนิดรวมตัวกันอยู่ คือ ซิสเตอิน (Cystein) ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate)
เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายสามารถผลิตกลูตาไธโอนได้เอง และถูกผลิตมากที่สุดที่ตับ ปอด ไต ม้าม ตับอ่อน และเลนส์แก้วตา สารมหัศจรรย์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าที่สำคัญ 4 ประการคือ
สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย โดยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งไวรัส แบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆที่เข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งเซลล์มะเร็ง
ทำหน้าที่กำจัดสารพิษที่ผ่านเข้าในร่างกาย โดยจะจับสารพิษที่ไม่ละลายน้ำให้เปลี่ยนเป็นสารที่ละลายน้ำ และกำจัดออกทางไตหรือทางลำไส้ ดังนั้นตับและไตซึ่งเป็นอวัยวะที่มีของเสียและสารพิษสะสมมากที่สุด จึงพบ กลูตาไธโอนถูกผลิตออกมามากที่สุด เพื่อทำหน้าที่กำจัดของเสียนั่นเอง ในทำนองเดียวกัน ปอด ก็พบกลูตาไธโอนในปริมาณสูง เพื่อกำจัดของเสียจากที่คนเราหายใจเอาฝุ่นละอองและควันพิษเข้าไปที่ปอดนั่นเอง
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงที่สุด ผลิตขึ้นเองโดยทุกเซลล์ในร่างกายโดยธรรมชาติ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ปกป้องเซลล์ให้แข็งแรง ช่วยการไหลเวียนของระบบเลือด รักษาการทำงานของหัวใจและปอด ช่วยชะลออายุของเซลล์ทุกเซลล์ และชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายและของอวัยะวะทุกส่วน
ช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซม ‘เซลล์และดีเอนเอที่สึกหรอ นับเป็นกุญแจสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีนและไขมัน กระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ

นักวิจัยพบว่า เนื้อสมอง ระบบเส้นประสาท เต้านม และต่อมลูกหมาก มีองค์ประกอบส่วนมากเป็นไขมัน ดังนั้นจึงมีแนวโน้มเป็นแหล่งสะสมของสารพิษหรือสารที่ไม่ละลายน้ำแต่ละลายสะสมในไขมัน นักวิจัยตั้งของสังเกตุว่า โอกาสการเกิดโรคความจำเสื่อม (Alzheimer) มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก พบเห็นมากขึ้นทั่วโลก เนื่องจากสารพิษจากสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่เป็นสารพิษที่ละลายสะสมในไขมันนั่นเอง
ออกซิเจนที่คนเราหายใจเข้าไปร่างกาย ประมาณ 2 % ของออกซิเจนที่หายใจเข้าไป จะถูกเปลี่ยน เป็นอนุมูลอิสระ หากอนุมูลอิสระนี้อยู่ในร่างกาย และไม่ถูกทำลาย จะส่งผลเสียอย่างมากต่อร่างกาย โดยอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะไปทำลายผนังเซลล์ และทำให้ดีเอนเอของเซลล์ชำรุดเสียหาย ผลคือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะบกพร่อง อ่อนไหวต่อการเกิดโรคต่างๆ และแก่เร็ว
สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี การกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อากาศเป็นพิษ ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง รังสียูวี เครื่องดื่มแอลกอฮอล อาหารที่มีน้ำตาลสูง ควันบุหรี่ ยาเสพติด และ การบริโภคยารักษาโรคชนิดต่างๆมากเกินไป ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ก่อให้ร่างกายเกิดภาวะสะสมอนุมูลอิสระมากๆ
เพื่อต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่สะสมจากปัจจัยต่างๆข้างต้น ร่างกายคนเราจะใช้สารต้านอนุมูลอิสระคือ ‘กลูตาไธโอน ที่ทุกเซลล์ผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ ในการต่อต้านทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น หากมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นมากและตลอดเวลา เซลล์ทุกเซลล์ต้องทำงานหนักเพื่อผลิตกลูตาไธโอน มาจับและล้างอนุมูลอิสระให้หมดไปหรือให้เหลือน้อยที่สุด
กลูตาไธโอน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ถูกสร้างและใช้มากที่สุดในร่างกาย นับเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตาของคนเรา ช่วยเปลี่ยนแป้งที่สะสมในร่างกายให้เป็นพลังงาน และป้องกันการสะสมของไขมันซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจ กลูตาไธโอนทำหน้าที่ปกป้องทุกเซลล์ของร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณกลูตาไธโอน ในร่างกายจะลดน้อยลง หรือถูกผลิตขึ้นช้าลงและมีปริมาณน้อยลง คนเราเมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี ปริมาณกลูตาไธโอน ในร่างกายจะลดลงเฉลี่ย 8-12% ต่อ 10 ปี แต่หากร่างกายมีการบริโภคยาหรือเคมีมากเกินไป ปริมาณการลดลงของกลูตาไธโอนในร่างกายจะรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมเร็วก่อนวัย และโรคต่างๆเข้าแทรกแซงได้ง่าย
เอกสารอ้างอิง-The importance of glutathione in human disease. Biomed Pharmacother. 2003 May-Jun; 57(3-4):145-55.
-ขอบุคุณ: http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผลไม้มงคล เทศกาล ตรุษจีน กินแล้ว สุขภาพดี เฮงตลอดปี


เทศกาล ตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนหลายคนคงกำลังเตรียมของไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งนอกจากอาหารคาว หวานแล้วนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผลไม้ ที่เชื่อว่าเป็นสิริมงคลทั้ง 5 ชนิด (โหวงก้วย) ที่เชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เสริมความเจริญรุ่งเรื่องให้กับชีวิต  นอกจากกินแล้วจะได้ความเป็นสิริมงคลแล้วยังได้สุขภาพดีตามมาอีกด้วย

ผลไม้มงคล เทศกาล ตรุษจีน


ผลไม้ตามความเชื่อในเทศกาลมงคล ตรุษจีน

1. ส้ม  เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ร่ำรวยเงินทอง สำหรับประโยชน์ของส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยลดความเครียดและปรับระดับความดันเลือด บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด ร่างกายเรานั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินได้เอง ดังนั้นจึงต้องรับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป วิตามินซีจากอาหารช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ในผลส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยลดอัตราไขมันเลว (LDL) และเพิ่มอัตราไขมันดี (HDL) ซึ่งส่งผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกายลดต่ำลง

2. องุ่นดำ เป็นสัญลักษณ์ของความเพิ่มพูน ความเจริญก้าวหน้าของหน้าที่การงาน สำหรับประโยชน์ขององุ่นดำ มีสารแอนไทไซยานิน โปรแอนไทไซยาดีนินและโพลีฟีนอล ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก และป้องกันความจำเสื่อม อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ทำให้รู้สึกอิ่มและให้แคลลอรี่ต่ำด้วย

3. สาลี่  เป็นสัญลักษณ์ของ ความมั่นคง การพบเจอโชคลาภและสิ่งดีๆ สำหรับประโยชน์ของสาลี่ ในสาลี่มีใยอาหารค่อนข้างดี เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานน้อย มีปริมาณของน้ำค่อนข้างมาก ในสาลี่มีสารต้านอนุมูลอิระ “โพลีฟีนอล” ที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้

4. กล้วยหอม เชื่อกันว่าจะทำให้มีลูกหลานมากมายสืบสกุล มีบริวารที่ดี กวักโชคกวักลาภเข้าบ้าน สำหรับประโยชน์ของกล้วยหอมนั้นอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและเกลือแร่ต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดความตึงเครียด ในกล้วยยังมีทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำให้สมองหลั่งสาร “เมลาโทนิน” และ “เซโรโทนิน” ซึ่งจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับสบายอีกด้วย ส่วนสาวๆ คนไหนอยากมีผิวสวยกล้วยยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบำรุงผิว เพราะในกล้วยนั้นยังมีสารแมกนีเซียมที่จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สาวๆ มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง ดูดีมีเลือดฝาด

5. แอปเปิ้ล  หมายถึง จะช่วยให้สุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ สำหรับประโยชน์ของ แอปเปิ้ลมีสารเพคติน ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำมีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล โดยเฉพาะลดไขมันเลว (LDL) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ในแอปเปิ้ลยังมีสารฟลาโวนอยด์ ที่ชื่อว่า เควอซิทิน (Quercetin) มีหน้าที่ในการปฎิบัติการล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ

ผลไม้มงคล เทศกาล ตรุษจีน กินแล้ว สุขภาพดี                                เฮงตลอดปี


ทั้งนี้ผลไม้ทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ที่แตกต่างกันหากเลือกรับประทานให้เหมาะสมตามฤดูกาล ก็ได้จะประโยชน์และสารอาหารที่พอดี ให้คุณประโยชน์กับร่างกาย และมีสุขภาพที่ดีตลอดปีอย่างแน่นอน

ขอบคุณ: http://women.mthai.com/health/204035.html

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผักติ้ว กับคุณประโยชน์และการรักษามะเร็ง

ผักติ้ว กับคุณประโยชน์และการรักษามะเร็ง
          ผักสีสวย แดง ๆ ส้ม ๆ เขียวอ่อน ใครจะคิดว่าจะมีคุณประโยชน์เหลือหลาย มากกว่าแค่นำมาทานเป็นผักเครื่องเคียงอาหาร อย่างผักใบสวยชนิดหนึ่ง ที่คนใต้นิยมเอามาทานกับขนมจีน
          ผักติ้ว เป็นไม้ยืนต้น สูง 8-15 เมตร ลำต้นมียางสีเหลือง ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนเกือบมน ผิวใบมีขนทั้ง 2 ด้าน จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า "ติ้วขน" ผักติ้วจะมียอดอ่อนเป็นสีแดง รสฝาดปนเปรี้ยว เมื่อใบแก่เป็นสีเขียวสด
          ส่วนดอกเป็นสีชมพูอ่อน ออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่งก้านเหนือรอยแผลใบ และก้มีผลกลม ๆ เมื่อผลแก่ แตกอ้า ภายในมีเมล็ดรูปไข่ หรือรูปกระสวย พบขึ้นตามป่าธรรมชาติทั่วทุกภาคของประเทศไทย
          ผักติ้ว บางคนก็เรียกว่า ผักแต้ว แล้วก็มีอีกหลาย ๆ ชื่อ เช่น ติ้วขน ติ้วส้ม แต้วหอม หรือแต้วหิน คนส่วนใหญ่นิยมจะนำใบนำมากินเป็นผัก ให้รสเปรี้ยว ปนฝาด ทั้งกินกับพริก ลาบ หรือแหนมเนือง ใส่แดงเลียง แกงส้ม หรือต้มยำ
          คุณประโยชน์ของผักติ้วนั้นก็เหลือหลาย ทั้งเป็นอาหาร เป็นวัสดุทำอุปกรณ์ เป็นยาดี และที่สำคัญมีคนบอกว่ารักษามะเร็งได้ด้วย แต่จะจริงหรือไม่ เรามีคำตอบ

      ผักติ้ว
ภาพจาก emaginfo

คุณประโยชน์จากผักติ้ว
          อย่างที่บอกไปว่าผักติ้วนั้นมีคุณประโยชน์สารพัด ทีนี้เรามาดูกันสิว่า จะมีอะไรกันบ้าง
           1. ในผักติ้วหนัก 100 กรัม จะมีเส้นใยอาหารอยู่ 1.4 กรัมช่วยป้องกันอาการท้องผูก มีแคลเซียม 67 มิลลิกรัม ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน มีไนอะซิน 3.1 มิลลิกรัม มีบทบาทต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหารและการทำงานของระบบประสาท วิตามินซี 56 มิลลิกรัม ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและช่วยให้แผลหายเร็ว ผักติ้วยังมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเออยู่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและบำรุงสายตา
           2. ยอดอ่อน นิยมรับประทานเป็นผักเคียงกับ ลาบ ก้อย น้ำตก แหนมเนืองเวียดนาม ตามที่กล่าวข้างต้น ส่วนภาคใต้รับประทานกับขนมจีนใต้รสชาติ อร่อยมาก
           3. ดอกผักติ้ว มีสีขาวหรือสีชมพูอ่อน ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ นำมากินเป็นผักได้เช่นเดียวกับยอดและใบอ่อน ไม้จากต้นผักติ้วก็ยังมีประโยชน์ไม่น้อย เพราะเนื้อไม้แข็ง จึงใช้ทำเสา ด้ามจอบเสียม หรือเผามาทำฟืน
          4. ราก ผสมกับหัวแห้วหมู และรากปลาไหลเผือกต้มน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด ประโยชน์ทางอาหาร ส่วนสรรพคุณทางยาไทยนั้น ใช้รากผสมกับหัวแห้วหมูและรากปลาไหลเผือก ต้มเอาเฉพาะน้ำ ดื่มวันละ 3 มื้อ เพื่อขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะขัด รากและใบต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้อง เปลือกต้นและใบตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้โรคผิวหนัง แม้แต่น้ำยางจากเปลือกต้นก็ใช้ทาแก้คันได้
          5. สารสกัดจากผักติ้ว ในงานวิจัยของนิสิตโครงการปริญญาเอก กาญจนาภิเษก (คปก.) คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า สารสกัดจาก "ผักติ้ว" สามารถนำไปใช้ในการยับยั้งกลิ่นหืนในอาหารได้ โดยเอายอดอ่อนของ "ผักติ้ว" ที่คนอีสานนิยมรับประทานเป็นผักเคียงกับลาบ ก้อย และแหนมเนืองเวียดนาม ไปเข้ากระบวนการสกัดผสมกับ "เอทานอล" และขั้นตอนอีกหลายขั้นตอนจะได้สารจาก "ผักติ้ว" ชื่อ "คอลโรจินิกแอซิก" นำไปใช้เป็นสารสกัดธรรมชาติป้องกันกลิ่นหืนของอาหารดีมาก

ดอกผักติ้ว




 ผักติ้วกับการรักษามะเร็ง

          มีการวิจัยเกี่ยวกับผักติ้วว่า ผักติ้วนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ชื่อว่า กรดคลอโรเจนนิคสูง เมื่อเทียบกับสารโพลีฟีนอลทั้งหมด โดยกรดคลอโรเจนนิคนี้เป็นสารที่ป้องกันการทำลายดีเอ็นเอได้ นอกจากนี้ยังมีการวิจัยของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า "ผักติ้ว" ยังมีฤทธิ์หยุดยั้งการเจริญของของเซลล์มะเร็งตับได้ โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติด้วย แต่ทั้งนี้ สารดังกล่าว ไม่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งตับ (HepG2 / cells) ได้

   ผักติ้วนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการนานาประการ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิด และอายุของยอดใบอ่อนหรือใบแก่
คุณค่าทางโภชนาการของผักติ้ว (ยอดอ่อน,ใบอ่อน,ดอก) ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 58 กิโลแคลอรี่
น้ำ 85.7 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม
เถ้า 0.6 กรัม
โปรตีน 2.4 กรัม
ไขมัน 1.7 กรัม
เส้นใยอาหาร 1.4 กรัม
วิตามินเอ 7,500 หน่วยสากล
วิตามินบี2 0.67 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 3.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 56 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 67 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2.5 มิลลิกรัม

ผักติ้วนอกจากจะมีส่วนประกอบทางเคมีแล้ว ผักติ้วก็มีกรดคลอโรเจนนิคที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และอุดมด้วยวิตามิน บี ซี เค แร่ธาตุต่าง ๆ เส้นใย เช่นเดียวกับผักอื่น ๆ

          ผักทุกชนิดจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่คล้าย ๆ กัน ดังนั้นเวลาที่เราจะทานผักแล้ว เราไม่ควรจะทานแค่ผักอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะการทานซ้ำอยู่อย่างเดียว ก็อาจทำให้เราได้รับสารอาหารนั้นต่อสุขภาพมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้

        ผลการทดลองในเบื้องต้นจากพบว่าใบติ้วมีฤทธิ์ต้านมะเร็งตับ แต่การวิจัยยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการที่จะต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องทำการทดลองเพื่อหาสารสำคัญในผักติ้ว และศึกษากลไกที่ชัดเจนของพืช ทำให้ในเบื้องต้นยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ใบติ้วกินแล้วดี มีประโยชน์ สามารถต้านมะเร็งตับได้ ส่วนด้านการรักษานั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองให้แน่ชัด
     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการวิจัยจะยังไม่เสร็จสิ้น แต่อย่างน้อยก็พบว่า ผักติ้วที่ชาวบ้านนิยมบริโภค นำมาเป็นเครื่องเคียงในอาหารประเภทลาบก้อย หรือแหนมเนือง มีสรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ ขณะเดียวกันก็ต้องศึกษา วิจัยและทดลองว่า ผักติ้วซึ่งมีรสชาดคล้ายๆ กับใบกระโดนที่มีสารที่ทำให้เกิดโรคนิ่วได้จะมีสารที่ก่อให้เกิดโรคนิ่วหรือไม่ ซึ่งจะต้องมาสกัดเป็นสารบริสุทธิ์และนำไปทดลองต่อไป นอกจากนี้แล้ว ยังได้นำสารสกัดหยาบจากใบติ้วไปเลี้ยงกับเซลล์มะเร็งเม็ดเลือด เซลล์ไต เซลล์มะเร็งเต้านมต่อไป ซึ่งในอนาคตเชื่อว่าจะสามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์เพื่อยับยั้งและป้องกันโรคร้ายอย่างโรคมะเร็งได้
ขอบคุณ:http://health.kapook.com/,http://www.oknation.net/


วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เวลาที่ดีที่สุดของการดื่มกาแฟ

เวลาที่ดีที่สุดของการดื่มกาแฟ คือ 

    ผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าช่วงเวลาการดื่มกาแฟที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่ หากแต่ที่จริงแล้วคาเฟอีนในกาแฟจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดถ้าบริโภคเวลา 10.30 น.
เว็บไซต์เดลิเมล์ ได้ให้ข้อมูลจาก สตีเว่น มิลเลอร์ นักประสาทวิทยาจากUniformed Services University of the Health Sciences (USUHS) ในรัฐแมรี่แลนด์ ระบุว่า การดื่มกาแฟจะได้ผลดีที่สุด เมื่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายต่ำ ในช่วง 09.30-11.30 น. ซึ่งคาเฟอีนในกาแฟจะเข้ากับฮอร์โมนดังกล่าวได้ดี ส่วนระดับของคอร์ติซอลจะสูงในช่วง08.00-09.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการตื่นนอน และจะค่อยๆลดลงใน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น
ดังนั้น หากตื่นนอนในช่วง 9โมงเช้า ทิ้งระยะให้คอร์ติซอลลดระดับลงราว 1 ชั่วโมง ช่วงเวลาการดื่มกาแฟ นั่นคือเวลา 10โมงครึ่งพอดี
นอกจากนี้ระดับคอร์ติซอลจะสูงสุดในเวลาอาหารกลางวัน และเวลา 17.30-18.30 น. หมายความว่า ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่เหมาะที่จะดื่มกาแฟ ถ้าดื่มเข้าไปประสิทธิภาพของคาเฟอีนจะไม่ช่วยให้ตื่นตัวเท่าใดนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกที่ว่า บางทีเมื่อดื่มกาแฟตอนเช้าตรู่แล้ว จะรู้สึกว่าต้องการกาแฟอีก หรือต้องการเพิ่มความเข้มของกาแฟ
ใครที่อยากได้รับพลังจากคาเฟอีนแบบเต็มประสิทธิภาพ ก็สามารถทำตามการศึกษานี้ได้เลย
ขอบคุณ:http://www.haaksquare.com/th/node/2706

โปรโมชั่นรับวันตรุษจีน


โปรโมชั่นรับวันตรุษจีน



ซื้อ ฟอเรสต้าคอลลาเจน 2 กล่อง แถม  1 กล่อง ในราคา 1350 บาท จากราคาเต็ม(15ซอง) กล่องละ 790 บาท เหลือกล่องละ 450
บาท จากซองละ 52.22บาท เหลือ ซองละ 30 บาท

สั่งซื้อ ได้ที่ ธนภัทร สังเกตกิจ(โบ๊ต)  085 845 5355 หรือ line ID : unknowname

วันวาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์



วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของเทพและเทพธิดาของโรมัน ต่อมากรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง  ผู้ชายโรมันจำนวนมากไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป จักรพรรดิจึงประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารมาเข้าร่วมรบในศึกสงคราม  และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิ ประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม แต่ก็ยังมีนักบุญผู้ใจดีในกรุงโรมคนหนึ่งชื่อนักบุญ " วาเลนไทน์ " ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยาก และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย
           จากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์  

สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมัน



สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมัน


โปรโมชั่นรับวันวาเลนไทน์

 ซื้อ ฟอเรสต้าคอลลาเจน 2 กล่อง แถม  1 กล่อง ในราคา 1500 บาท จากราคาเต็ม กล่องละ 790 บาท X 3 =  2370 บาท ประหยัด 870 บาท ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หมดเขต 15 กุมภาพันธ์ 2558.
สั่งซื้อ ได้ที่ ธนภัทร สังเกตกิจ(โบ๊ต)  085 845 5355 หรือ line ID : unknowname

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ริ้วรอยบนใบหน้ากับท่านอนของสาวๆ

ริ้วรอยบนใบหน้ากับท่านอนของสาวๆ



 สาวๆ หลายคนมีท่านอนประจำ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก พอเปลี่ยนท่าทีก็จะทำให้นอนไม่หลับ  ท่านอนก็มีผลกับสุขภาพและหน้าสวยเด้งของสาวๆ ด้วยนะ

   บางครั้งเวลาตื่นนอน ดูไม่สดใส มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะสาเหตุของการนอนที่ผิดวิธี หรือ อาจใช้อุปกรณ์ในการนอนไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งจะมีผลระยะยาวทำให้ใบหน้าเราเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยได้ง่ายกว่าปกติ

นอนตะแคง

      การนอนตะแคงเป็นท่านอนที่สาวๆ ควรเลี่ยง อย่างยิ่ง หรือถ้าติดเป็นนิสัยแล้วแนะนำให้นอนตะแคงขวา จะดีกว่าตะแคงซ้าย เพราะเป็นท่าที่หลับสบาย และด้านขวาร่างกายเราจะไม่กดทับหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานสะดวก เลือดไหลเวียนได้ดี ทั้งนี้สาวๆ ควรปรับเปลี่ยนไม่นอนตะแคงทั้งคืนเพราะสาเหตุคือ อาจมีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ เนื่องจากถูกการบีบกดกับหมอน หรือ ผ้าปูที่นอนเป็นต้น

นอนคว่ำ

      การนอนคว่ำนั้นจะทำให้หน้าของเราถูกกดทับไปทั้งหน้า ทำให้ครีมที่ทาไว้ทั้งคืนอาจเปื้อนและระเหยออกไปติดหมอนได้ และประสิทธิภาพต่างๆ ของครีมก็ลดน้อยลง หากจำเป็นที่ต้องนอนคว่ำหน้าเช่น เวลาไปทำสปา หรือ นวดต่างๆ ควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ และกล้ามเนื้อคอ

นอนหงาย

      ท่านี้เหมาะกับการนอนที่สุด เพราะใบหน้าจะไม่ถูกบีบรัดหรือรบกวนจากปลอกหมอน ทำให้เมื่อตื่นมาหน้าตาจะสดชื่นไม่มีริ้วรอยให้กังวลใจ แต่ทั้งนี้การนอนหงายก็ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวกอาจทำให้มีอาการกำเริบได้

      นอกจากท่านอนที่ถูกต้องแล้วนั้น ยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงสิ่งอื่นอีก ซึ่งก็คืออุปกรณ์ในการนอนต่าง ไม่ว่าจะเป็น ที่นอน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และควรหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ในการนอนด้วย และการเลือกที่นอน ก็ควรเลือกให้มีความหนาแน่นพอสมควร และไม่ควรนิ่ม หรือแข็งจนเกินไป
 
       และสำหรับคนที่รูปร่างค่อนข้างใหญ่ หรืออ้วนอาจเลือกที่นอนที่มีความแข็งแรงมีความแน่นเป็นพิเศษ สามารถรับน้ำหนักตัวได้ดี ทั้งนี้ควรหมั่นทำความสะอาดที่นอนเป็นประจำ เมื่อครบ6 เดือนให้กลับที่นอนอีกด้านขึ้นมาใช้ เป็นต้น ส่วนหมอนแนะนำให้ใช้ขนาดพอดีที่ไม่หนา หรือ แบนเกินไป เช่น หมอนแบบใยสังเคราะห์ และหมอนแบบโฟมลาเทกซ์ เป็นต้น และหากคุณสามารถนอนให้ตรงเวลา คือไม่ดึกจนเกินไป ตื่นตามเวลา ก็จะมีผลต่อระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะแข็งแรง ตื่นมาตอนเช้าหน้าตาจะไม่เหี่ยวย่น กระจ่างสดใส อย่างแน่นอน
ที่มา:http://www.thaiza.com/

พฤติกรรมยอดแย่ที่ไม่ควรปฏิบัติขณะโกรธ

พฤติกรรมยอดแย่ที่ไม่ควรปฏิบัติขณะโกรธ



     อารมณ์โกรธเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาๆเช่นเรา  แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราควรหาวิธีระงับให้เร็วที่สุดและดีที่สุด ถ้าไม่ระงับจะเกิดผลเสียตามมามากมาย และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ

1. ระบายอารมณ์บนโลกออนไลน์
      มีให้เห็นมามากสำหรับเรื่องราวแย่ๆ ที่ขึ้นมาบนโซเชียลออนไลน์ช่องทางต่างๆ ด้วยอารมณ์ โมโหคุณอาจไม่รู้ตัว ว่าโพสต์ อะไรลงไปบ้าง โพสต์แล้วลบ ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะการโพสต์เรื่องราวลงบนโซเชียลเพียงไม่กี่วินาที มีคนเห็นอาจจะเป็นหลักสิบหลักร้อย หรือหลักพัน หมื่นก็เป็นได้ โซเชียลออนไลน์ไม่ใช่จุดระบายอารมณ์ที่ถูกที่ถูกทางมากนัก เพราะมันจะทำให้ภาพคุณออกมาในเชิงลบได้เช่นกัน
2. อย่าริขับรถเพื่อระบายอารมณ์
      มีข้อมูลจากการวิจัยพบว่าผู้ขับขี่ที่อยู่ในภาวะอารมณ์โกรธ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุบนถนนสูงมากกว่าคนอารมณ์ปกติหลายเท่า  เพราะฉะนั้นขณะโกรธ ลองหาที่พักอารมณ์ จอดรถพักหาอะไรดื่มให้เย็นกายเย็นใจก่อนเพื่อสงบสติอารมณ์

3. ห้ามถกเถียงกันขณะโกรธ
       ควรคิดๆๆ และก็คิดให้ดีเสียก่อน ก่อนจะพูดอะไรออกไป ทางที่ดิ หากคุณกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์โกรธ ให้เดินหนีออกมาซะ อารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุยตกลงกันจะดีที่สุด

4. อย่าประชดตัวเอง
      เห็นบ่อยครั้งเช่นกัน เวลา โกรธโมโหหรือ เครียด สิ่งใดๆ ทางออกฮอตฮิตเห็นจะหนีไม่พ้นวิธีการดื่ม  ดื่มให้หายเครียด จากคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ก็หันมาสูบ ซึ่งจุดนั้นเป็นการประชดตัวเองที่สิ้นคิดมากๆ เลย มันกลายเป็นการทำร้ายตัวเองเข้าไปอีกนะ

5. เล่าเรื่องที่เกิดอารมณ์โกรธกับผู้อื่น
      ข้อดีเมื่อยามที่คุณรู้สึกอึดอัดแล้วเล่าให้คนอื่นฟัง คือการได้ระบาย เป็นการทำให้คลายความเครียดได้ แต่ถ้าหากเรื่องไม่ดีของคุณถูกนำไปพูดต่อ แบบปากต่อปาก คนที่จะเสียหายก็คือคุณนั่นเองนะ